วันนี้ (๗ มีนาคม ๒๕๖๗) ที่ สัตตบงกช สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนา ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศ ครบรอบ ๑๖ ปี ซึ่งถือเอาวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๑ ที่ประเทศไทย มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๕๑ อย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ภายในงานยังได้มีการเปิดตัว ระบบ Digital Platform หรือ iDEMS ที่เป็นการร่วมมือของภาคีเครือข่ายด้านดิจิทัลทั้งภาครัฐและเอกชนได้แก่ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แอ็บโซลูท โซลูชั่น จำกัด บริษัท กรุงศรี นิมเบิล จำกัด และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยเรามีกฎหมายว่าด้วยการแพทย์ฉุกเฉินครั้งแรก เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๑ หรือ เมื่อ ๑๖ ปี มาแล้ว และในปีนี้เป็นปีที่มีการยกระดับการปฏิบัติการและให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน สู่ระบบ Digital Platform (iDEMS) ที่เป็นการร่วมมือของภาคีเครือข่ายด้านดิจิทัล โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การลดอัตราการบาดเจ็บ เสียชีวิตของผู้ป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ เพิ่มอัตราการเข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประชาชน และผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ให้สูงขึ้น เพิ่มอัตราการได้รับการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุของผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติภายใน ๘ นาทีให้สูงขึ้น การยกระดับการดำเนินงานในปีที่ ๑๖ เป็นหนึ่งในสิ่งที่รัฐบาล มุ่งหวังให้เกิดขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ลดการตาย พิการ จากการเจ็บป่วยฉุกเฉินโดยไม่จำเป็น เป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับ ปรับระบบการเข้าถึงบริการด้านการแพทย์ของประชาชนตามนโยบาย ๓๐ บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว และนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวปลอดภัยของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง
ด้าน ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สพฉ. เป็นองค์กรมหาชนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๑ ให้เป็นองค์กรกลางในการจัดให้มีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐานที่ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่งถึงและเท่าเทียม เพื่อลดและป้องกันความสูญเสียชีวิตและพิการทั้งในภาวะปกติ และภาวะสาธารณภัย โดยประสานการปฏิบัติการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และเอกชน ตลอดระยะเวลา ๑๖ ปี ที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนา และขับเคลื่อนระบบการแพทย์ฉุกเฉินของชาติร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ ให้บริการตลอด ๒๔ ชั่วโมงผ่านสายด่วนฉุกเฉิน หมายเลข ๑๖๖๙ อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ในปี ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการกว่า ๘ ล้านครั้ง และในโอกาสครบรอบ ๑๖ ปีนี้ ได้มีการยกระดับการปฏิบัติการฉุกเฉินสู่การเป็น Digital Platform เพื่อรองรับการแจ้งเหตุฉุกเฉิน เชื่อมต่อหมายเลขฉุกเฉินอื่นๆ เชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูล สื่อสารเพื่อการปฏิบัติงานหรือให้คำปรึกษาในรูปแบบการแพทย์ทางไกล ระบบ Tracking ยานพาหนะ ที่สำคัญคือระบบการตรวจสอบข้อมูล เพื่อการเบิกจ่ายค่าชดเชยปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินที่ถูกต้อง รวดเร็ว ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิ์ประชาชนในระบบ UCEP ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค สู่ ๓๐ บาท รักษาทุกที่ของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง ในการดำเนินการดังกล่าว ได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน
“วันคล้ายวันสถาปนา การแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ที่มาบรรจบครบรอบ ๑๖ ปี ในวันนี้ การจัดงานครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรำลึกถึงการก่อตั้งระบบการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อเปิดตัวระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) ระบบสารสนเทศการแพทย์ฉุกเฉินดิจิทัลอัจฉริยะ (Intelligence Digital Emergency Medical System : iDEMS) เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับบุคลากรในระบบด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่เสียชีวิตไปแล้ว ตลอดจนเพื่อความเป็นสิริมงคล และเสริมสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบ” เลขาธิการ สพฉ. กล่าว
นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ เอไอเอส กล่าวว่า “ในฐานะ Digital Life Service Provider ที่ได้พัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตบ้าน ครอบคลุมสูงสุดทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงการขอความช่วยเหลือผ่านระบบการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 ได้อย่างสะดวก เท่าเทียม ไม่ว่าจะผ่านการโทรติดต่อ หรือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ในอนาคต อาทิ ลูกค้า AIS สามารถติดต่อ 1669 ผ่าน myAIS Application และระบุ Location ของการขอความช่วยเหลือได้แม่นยำ มากยิ่งขึ้น รวมถึงพร้อมเป็นช่องทางเผยแพร่องค์ความรู้ของ สพฉ. ผ่าน AIS PLAY ที่ลูกค้า AIS สามารถรับชมได้ฟรี”
“นอกจากนี้ยังได้ร่วมออกแบบการเชื่อมต่อ ระหว่างแอพพลิเคชัน บนรถพยาบาล ที่ทาง SCG JWD Logistic เป็นผู้ดำเนินการหลัก ให้สามารถทำงานร่วมกับเครือข่าย AIS 5G ทั่วไทย เพื่อให้ได้ความเร็วและความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูล ของผู้ใช้บริการรถพยาบาล รวมถึงเตรียมนำSolutions Push to Talk มาทดลองทดสอบ เพื่อเสริมในพื้นที่ซึ่งสัญญาณวิทยุสื่อสารของทีมงานไม่ครอบคลุม พร้อมกับ Package ค่าบริการในราคาพิเศษด้วย”
………………..