วันอาทิตย์, ธันวาคม 29, 2024

Real Estate

เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการปี 2564 ยอดขายโต กำไรเพิ่ม เชื่อตลาดเซรามิกฟื้นตัว

เอสซีจี เซรามิกส์ แถลงผลประกอบการปี 2564

ยอดขายโต กำไรเพิ่ม เชื่อตลาดเซรามิกฟื้นตัว มุ่งเป็นผู้นำชูสินค้าตอบโจทย์เมกะเทรนด์

ทั้งสุขอนามัยและไลฟ์สไตล์ ปรับกลยุทธ์เตรียมรับมือพลังงานก๊าซธรรมชาติพุ่ง

ผลประกอบการปี 2564 เอสซีจี เซรามิกส์ มีรายได้จากการขาย 11,194  ล้านบาท  เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 โดยมีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากยอดขายในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น คาดเศรษฐกิจปีนี้เติบโต เตรียมปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและเทคโนโลยีรับมือราคาพลังงาน พร้อมชู “Dream Space” สร้างแบรนด์ขึ้นเป็นผู้นำด้านสุขอนามัยบวกไลฟ์สไตล์ เชื่อผู้บริโภคยังต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์หลากหลายแม้ว่าจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามแนวทางวิถีใหม่

นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์  “คอตโต้” (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และ คัมพานา (CAMPANA)   เปิดเผยงบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของ COTTO ไตรมาสที่ 4 ปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย  2,741  ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ลดลง ร้อยละ 3  จากไตรมาสก่อน   โดยมีผลกำไร 57 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 31  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ลดลง ร้อยละ 65  จากไตรมาสก่อน  เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตควบคู่กันมาโดยตลอด

            สำหรับผลประกอบการปี  2564  บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 11,194  ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2563  ร้อยละ 10 โดยมีกำไรสุทธิรวม 584  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 164  ล้านบาท  เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมหนองแค

 

นายนำพล เปิดเผยว่า “การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและสถานการณ์ตลาดกระเบื้องเซรามิกในปี 2564 เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างภาคเอกชนได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ก็ถือว่าปีที่ผ่านมานั้นเป็นปีที่ทุกภาคส่วนได้เรียนรู้และมีความพร้อมในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ มากขึ้น เริ่มคุ้นชินกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สามารถวางแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ในส่วนของความต้องการสินค้ากระเบื้องเซรามิคในประเทศยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้านั้น เช่นเดียวกับสถานการณ์การแข่งขันที่ยังคงรุนแรงทั้งจากผู้ผลิตในประเทศเองและจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ  และในปี 2565 นี้ ปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาเพิ่มเติม คือ เรื่องราคาพลังงานที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลกระทบกับธุรกิจเซรามิค

ในปี 2565 นี้ คาดว่าความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกโดยรวมจะยังคงใกล้เคียงกับปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะเติบโตและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ  แต่ทั้งนี้ ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่บ้างในเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ รวมถึงปัญหาหนี้ภาครัฐบาลและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น  แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิด  คือ ราคาพลังงาน ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอัตราเงินเฟ้อ เหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกและการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรงต่อเนื่อง คาดว่าบริษัท ฯ จะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้ โดยเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักรเพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ด้วยการปรับสัดส่วนการขายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการปรับระดับการผลิตและการนำเข้าสินค้าให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการ”นายนำพลกล่าวและเพิ่มเติมว่า

 

“นอกจากนี้ บริษัท ฯ ยังมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงต่อความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันจากสถานการณ์โควิด-19 และส่วนหนึ่งจากภาวะโลกร้อน ซึ่งผู้บริโภคมีความต้องการและมีความพยายามที่จะสร้างพื้นที่ใหม่ในบ้าน หรือ Dream Space เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์และการใช้งานที่แตกต่างหลากหลายของสมาชิกภายในบ้าน ภายใต้วิถี New Normal

ในยุคสถานการณ์โควิด ฝุ่น PM 2.5 เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียสร้างความกังวลให้กับผู้บริโภค ทำให้ต้องการที่อยู่อาศัยหรือต่อเติมและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เป็นมากกว่า “บ้าน” ในแบบเดิม คือ มีทั้งความปลอดภัย สุขอนามัย เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี สะดวกสบาย ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาเราได้นำเสนอสินค้าและบริการโดยชูจุดเด่นตามเมกะเทรนด์เรื่องการรักษาสุขภาพและสุขอนามัย ตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภคยุค New Normal และตอบสนองความต้องการต่อเติมและปรับปรุงที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น กระเบื้อง Hygienic Tile หรือกระเบื้องยับยั้งแบคทีเรียจาก COTTO  กระเบื้อง AIR ION หรือกระเบื้องฟอกอากาศสามารถดักจับฝุ่น PM2.5 ได้ถึง 89 % แผ่นปูพื้น LT แบบ Smart Flexible by COTTO ซึ่งเป็นวัสดุปูพื้นที่มีดีไซน์สวยงาม ติดตั้งง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  รวมถึงบริการติดตั้ง ภายใต้ชื่อ C’TIS (Certified Tile Installation Service)

   ล่าสุด เราพบว่า แม้จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามแนวทางวิถีใหม่ แต่ผู้บริโภคก็ยังคงต้องการพื้นที่ที่จะตอบสนองไลฟ์สไตล์และการใช้งานที่แตกต่างหลากหลายของสมาชิกภายในบ้านด้วย จึงเป็นที่มาของแนวคิดเรื่อง Dream Space พื้นที่ที่จะเติมพลังให้กับสมาชิกทุกคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับบ้านเป็นส่วนใหญ่ในเวลานี้ โดยเป็นพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกอุ่นใจปลอดภัย เรียบง่าย แต่ครบคุณค่า (HEALTH & COMFY) มีรูปแบบดีไซน์ที่มีความเป็นตัวของตัวเอง มีสีสันเฉพาะตัว มีเอกลักษณ์ (MOOD LIFTING) ภายใต้การออกแบบที่เน้นความหลากหลายปรับเปลี่ยนได้ (CREATIVE LIVING) เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในแต่ละกิจกรรมมากที่สุด” นายนำพล กล่าว

นอกจากความพยายามในการมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ดีที่สุดแล้ว ในปีนี้ บริษัท ฯ ยังคงมุ่งสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวผ่านกลยุทธ์หลักต่าง ๆ ทั้งการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของสินค้าบริษัท ร่วมกับผู้แทนจำหน่าย ร้านค้า Modern trade และการขยายสาขาของธุรกิจร้านค้าปลีกกระเบื้องเซรามิก หรือ “คลังเซรามิค” ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง การเร่งพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน ขยายช่องทางการขายในรูปแบบใหม่ทั้งออฟไลน์ออนไลน์ และเพิ่มความครอบคลุมพื้นที่ให้มากขึ้น ตลอดจนการขยายธุรกิจด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง และยกระดับการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมหนองแคสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-World Class ที่สำคัญ คือ มองหาโอกาสใหม่ เทคโนโลยีใหม่ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อเตรียมรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและคงความเป็นผู้นำในธุรกิจเซรามิค นายนำพล กล่าวสรุป